"นาโนอิมัลชั่น โฮโมจีไนเซอร์ (Nanoemulsion Homogenizer machine)" เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง ปฏิวัติรูปแบบวงการอุตสาหกรรม ยกระดับคุณภาพอาหาร ยา และเครื่องสำอาง โดยการใช้เทคโนโลยีนาโนอิมัลชั่น ที่สามารถนำสารออกฤทธิ์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
งานวิจัยในหลายสาขาได้ให้ความสำคัญกับการนำส่งสารในรูปแบบนาโนอิมัลชั่น ซึ่งเป็นการนำสารออกฤทธิ์ให้อยู่ในส่วนของน้ำหรือน้ำมันที่มีขนาดอนุภาคนาโน โดยถูกผสานเข้าด้วยสารอิมัลซิไฟเออร์ ซึ่งเป็นการนำส่งสารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว และใช้สารในปริมาณน้อยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม มนุษย์ และสัตว์ ซึ่งปัจจุบันในหลายอุตสาหกรรมได้พยายามที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ในรูปแบบนาโนอิมัลชั่นออกสู่ท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเกษตร เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงและยากำจัดวัชพืช อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมอาหารและยาสัตว์ และอื่นๆ แต่ประเทศไทยยังมีปัญหาในการผลิตเนื่องจากเครื่องจักรดังกล่าวมีราคาที่สูงมาก
มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ร่วมมือกับบริษัท ลิลลี่ ฟาร์มา จำกัด ในการสร้างกระบวนการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงนาโนอิมัลชั่น โฮโมจีไนเซอร์ จากห้องปฏิบัติการสู่ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลงานการวิจัยและพัฒนาโดยฝีมือคนไทย จากทีมงานนักวิจัยและวิศวกรของบริษัท ลิลลี่ ฟาร์มา จำกัด ที่สามารถนำข้อมูลและประสบการณ์จากห้องวิจัยที่มีข้อจำกัด มาพัฒนาใช้ในเชิงอุตสาหกรรม (Production Scale) มุ่งหมายเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับวงการอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีนาโนอิมัลชั่น ซึ่งสามารถนำสารออกฤทธิ์มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันกำลังทำการวิจัย ทั้งยาสัตว์ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และยากำจัดวัชพืช รวมไปถึงอาหารเสริมที่อยู่ในรูปแบบนาโนอิมัลชั่น
จุดเด่นของเครื่อง High speed nano homogenizer คือ เทคนิคการเฉือนอนุภาค (Shearing) ด้วยใบพัดปั่นที่มีความเร็วสูง และมีหัวปั่นพร้อมกัน 3 หัว (Vertical Multiple Rotor Stator Head) ซึ่งทำให้อนุภาคมีขนาดที่เล็กลงกว่า 100 นาโนเมตร และมีความสม่ำเสมอของขนาด เนื่องจากมีหัวปั่นที่เรียงตัวอยู่ 3 ระดับในถัง นอกจากนี้เครื่องจักรพ่วงอื่นๆ เช่น Oil mixer และ Water mixer ยังมีถังน้ำควบคุมอุณหภูมิในระหว่างกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถผลิตในระบบสุญญากาศได้ ทำให้เครื่องจักรดังกล่าวสามารถผลิตสารนาโนอิมัลชั่นให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ห้องวิจัยได้กำหนดไว้ นอกจากนี้ เทคโนโลยี High speed nano homogenizer ยังช่วยให้ประหยัดเวลาและพลังงานในการผลิต รวมถึงประหยัดต้นทุนในการบำรุงรักษาน้อยลงกว่าระบบอื่นมาก